โค้ชสัมพันธ์ ศรีกรุงโบรคเกอร์ (โค้ชประกันภัยรถยนต์ ) (ผมจะเป็น ผู้ฝึกสอนงาน ประกันภัยรถยนต์ ฟรี ให้กับท่าน) ตอบทุกคำถาม ที่ท่าน ต้องการรู้ และช่วยให้ท่าน ลดรายจ่าย^เพื่อรายได้ สำนักงานตัวแทนนายหน้าประกันวินาศภัย นายสัมพันธ์ กิตติวรวิศาล (รหัสตัวแทน AM00062781 ผู้แจ้งงาน)ใบอนุญาตเลขที่ 5804004537 (หมดอายุ 01/03/23)

ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

>Toyota New Camry เครื่อง 2.2 ปี 2000 ออโต้ ไม่แก๊ส ราคา 109,000 บาทค่ะ พร้อมขับพร้อมโอน








Toyota New Camry

เครื่อง 2.2 ปี 2000 
ออโต้ ไม่แก๊ส 
ราคา 109,000 บาทค่ะ 
พร้อมขับพร้อมโอน

สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่

083-165-0009 แอนค่ะ

0811988003 ชาย (ครับ)



>18 สิ่งที่ไม่ควรทำ "บนเครื่องบิน"

18 สิ่งที่ไม่ควรทำ 
"บนเครื่องบิน"



การเดินทางโดยเครื่องบินอาจทำให้หลายคนป่วยได้ด้วยสาเหตุหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด และสุขอนามัยต่างๆ บนเครื่อง


หากไม่อยากป่วยก่อนถึงจุดหมายปลายทาง จนทำให้ทริปท่องเที่ยวหมดสนุก เรามีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับ 18 สิ่งที่ไม่ควรทำ “บนเครื่องบิน” มาฝากกัน


1.ไม่เดินเท้าเปล่า 
– พรมที่ปูตรงทางเดินเป็นที่สะสมเชื้อโรคชั้นดี


2.ไม่กินน้ำแข็ง 
– ถังบรรจุน้ำที่นำมาทำน้ำแข็งส่วนใหญ่เก่า และมีแบคทีเรีย


3.อย่านั่งติดเบาะโดยไม่ลุกเลย 
 – นั่งนานๆ ทำให้ทำให้ระบบเลือดในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก


4.ไม่ใส่คอนแทคเลนส์ 
– อากาศบนเครื่องแห้งมาก อาจเป็นสาเหตุให้ระคายเคืองตา


5.อย่าปิดช่องแอร์เหนือที่นั่ง 
– หากรู้สึกหนาวให้สวมเสื้อกันหนาวแทน ซึ่งจะช่วยป้องกันผิวแห้งได้ด้วย


6.อย่ากินอาหารที่หล่นนอกถาด 
– เพราะโต๊ะที่ใช้วางอาหารไม่ได้ถูกทำความสะอาดระหว่างเปลี่ยนไฟลท์


7.อย่าใช้ผ้าห่ม (หากบินระยะสั้นๆ) 
– บางสายการบินมีการใช้หมอนและผ้าห่มซ้ำระหว่างไฟลท์ โดยจะไม่เปลี่ยนจนกว่าจะหมดวัน


8.อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ 
– ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะบนเครื่องบินมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ทำให้ผิวขาดน้ำได้


9.เลี่ยงชา กาแฟ 
– ควรเลี่ยงเครื่องดื่มที่ต้องใช้น้ำก๊อกจากบนเครื่องบิน แม้ว่าจะผ่านการต้มแล้วมาก็ตาม


10.อย่าดื่มแอลกอฮอล์มากไป 
– การดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ยิ่งบนเครื่องบินมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำด้วย ก็ยิ่งเร่งให้ร่างกายมีอาการขาดน้ำเร็วขึ้น


11.อย่าสัมผัสปุ่มชักโครกโดยตรง 
– ที่กดชักโครกในห้องน้ำเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี จึงควรใช้กระดาษทิชชู่ในการกดชักโครก เพื่อไม่ให้มือสัมผัสที่กดโดยตรง


12.อย่านอนพิงผนังหน้าต่าง 
– ผนังหน้าต่างเครื่องบินเป็นจุดศูนย์รวมของเชื้อโรคเช่นกัน เพราะบางคนอาจจะไอ จามใส่หน้าต่าง หรืออาจจะมีใครใช้มือป้ายสิ่งสกปรกเอาไว้


13.อย่าใส่กางเกงขาสั้น 
– เพื่อเลี่ยงการที่ร่างกายต้องสัมผัสกับเก้าอี้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ทำความสะอาดระหว่างเปลี่ยนไฟลท์


14.อย่าอายที่จะเรียกพนักงานบนเครื่องหากรู้สึกไม่ดี 
– พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินล้วนได้รับการฝึกด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้ว ดังนั้นหากต้องการความช่วยเหลือควรแจ้งให้ทราบทันที


15.อย่าเลือกที่นั่งตรงกลาง 
– ควรเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง หรือริมทางเดิน แทนการนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีคนอื่นขนาบข้าง ซึ่งนอกจากจะทำให้อึดอัด นั่งไม่สบายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ ด้วย


16.อย่าละเลยการดูแลผิว 
– การอยู่บนเครื่องบินนอกจากทำให้ผิวแห้งแล้ว ยังได้รับรังสียูวีมากกว่าที่คิดด้วย จึงควรทาครีมบำรุงและครีมกันแดดป้องกันไว้


17.อย่าหลับก่อนเครื่องขึ้น 
– ถ้าเผลองีบหลับก่อน อาจจะทำให้ความดันในหูไม่เท่ากันจนเกิดอาการหูอื้อ หรือปวดหูตามมา ซึ่งวิธีนี้แก้ได้ด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อให้กรามเกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งจะช่วยปรับความดันในหูได้


18.เลี่ยงน้ำอัดลม 
– ด้วยระดับการบินที่สูงมาก การดืิ่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่อัดแก๊ส จะทำให้เกิดแก๊สในลำไส้เพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายตัวจากอาการอึดอัด แน่นท้องได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก travel.sanook.com

>นโยบายใหม่ปีนี้! เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ลดหย่อนภาษีได้

นโยบายใหม่ปีนี้! 
เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด 
ลดหย่อนภาษีได้



หลังจากมีมติจากทางคณะรัฐมนตรีออกกฎหมายในการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จึงเกิดเป็นโครงการเมืองรอง 55 จังหวัด หักภาษี 1.5 หมื่นบาท วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึกว่า เมืองรองทั้ง 55 จังหวัดนั้นมีเมืองไหนกันบ้าง และมีอะไรดีอะไรเด็ดบ้างในเมืองนั้นๆ ตามไปดูกันครับ


เมืองรองทั้ง 55 จังหวัดได้แก่ นครศรีธรรมราช อุดรธานี เชียงราย ลพบุรี พิษณุโลก สุพรรณบุรี อุบลราชธานี นครนายก หนองคาย สระแก้ว เลย ตาก ตราด เพชรบูรณ์ จันทบุรี มุกดาหาร นครสวรรค์ ราชบุรี สมุทรสงคราม บุรีรัมย์ ชัยภูมิ พัทลุง ตรัง ศรีสะเกษ ปราจีนบุรี สตูล ชุมพร สุโขทัย สุรินทร์ สกลนคร ลำพูน นครพนม อุตรดิตถ์ ระนอง ลำปาง ร้อยเอ็ด แม่ฮ่องสอน พิจิตร แพร่ ชัยนาท น่าน อ่างทอง มหาสารคาม กำแพงเพชร อุทัยธานี นราธิวาส ยะลา พะเยา บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ยโสธร สิงห์บุรี หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และปัตตานี  

ส่วน 22 จังหวัดที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 6 จังหวัด คือ จังหวัดนครปฐม นนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และปทุมธานี 

รวมทั้งจังหวัดที่มีผู้เยี่ยมเยือนสูงสุด 15 จังหวัดแรก ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา ระยอง สงขลา เพชรบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น พังงา และ สระบุรี

ซึ่งเมื่อดูจากตามรายชื่อทั้ง 55 จังหวัด แล้วถือว่าเป็นเมืองที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวอย่างยิ่ง บางจังหวัดบางคนยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นๆ เลยด้วยซ้ำ

แต่ถ้าหากไปศึกษาจริงๆ จะรู้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ซุกซ่อนอยู่มากมาย เช่น จุดชมวิวผาแดง จังหวัดลำพูน , เขาเทวดา จังหวัดสุพรรณบุรี , หินสามวาฬ จังหวัดบึงกาฬ , ปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน,

ทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ, เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล, เป็นต้น



ซึ่งสถานที่เหล่านี้บางที่ก็เป็นสถานที่ยอดนิยมบางที่ก็เป็นสถานที่แปลกใหม่สุดอันซีน ที่สำคัญในปีนี้คุณสามารถไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้ได้แบบประหยัดงบ เพราะรัฐบาลจะคืนภาษีในการท่องเที่ยวให้กับคุณถึง 1.5 หมื่นต่อคน

ไม่ว่าจะใช้บริการบริษัทท่องเที่ยวหรือจ่ายค่าที่พักหักค่าลดหย่อนภาษีได้ในระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 61

และได้กำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง สามารถนำไปหักลดหย่อนได้เต็มจำนวน 100%

ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่ออกมาสนับสนุนและกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้นอีกด้วย

เป็นโอกาสที่ดีแก่ผู้ที่รักการท่องเที่ยวจะได้ประหยัดงบประมาณของตัวเองและสามารถเที่ยวแบบฟินๆ ได้ตลอดทั้งปีเลยครับ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก travel.sanook.com


>4 สัญญาณเตือน "ควรเปลี่ยนรถใหม่"

4 สัญญาณเตือน 
"ควรเปลี่ยนรถใหม่"


รถยนต์ยิ่งใช้งานยิ่งมีแต่เสื่อมสภาพลงทุกวัน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะหมดสภาพ ไม่คุ้มที่จะซ่อมแซมและบำรุงรักษาเพื่อใช้งานต่อไป  วันนี้เราขอแนะนำ4 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ได้แล้ว

1.ควันขาวออกจากท่อไอเสีย

     เครื่องยนต์เป็นจุดหนึ่งที่ต้องได้รับการซ่อมแซมอยู่บ่อยครั้งตลอดช่วงอายุการใช้งานของรถ แต่หากเกิดควันสีขาวออกจากปลายท่อไอเสีย นั่นแปลว่าเครื่องยนต์ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนานจนกระทั่งเกิดอาการหลวม จนทำให้น้ำมันเครื่องเล็ดลอดเข้าไปยังลูกสูบและถูกเผาไหม้จนกลายเป็นควันขาวออกมา และจะเกิดอาการน้ำมันเครื่องหายตามมาด้วย

     หากว่ากันตามจริง อาการเครื่องยนต์หลวมสามารถซ่อมแซมได้ แต่เป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนทั้งลูกสูบ, กระบอกสูบ, แหวนลูกสูบ ฯลฯ จนกลายเป็นว่าซ่อมไม่คุ้ม และไม่รู้ว่าปัญหาจะจบหรือไม่ ดังนั้น หากสภาพคล่องในกระเป๋าเอื้ออำนวย ก็แปลว่าถึงเวลาเปลี่ยนรถใหม่ได้แล้วล่ะ

2.เกียร์กระตุก/ไม่เปลี่ยน

     ชุดเกียร์เป็นอีกหนึ่งอะไหล่ที่มีราคาสูง ซ่อมยาก แม้ว่าจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้นความเสื่อมถอยตามอายุการใช้งาน ดังนั้น หากรถเกิดอาการกระตุกอย่างรุนแรงขณะเปลี่ยนเกียร์, เกียร์ข้าม หรือเกียร์ไม่เปลี่ยน ทางออกคือการยกเกียร์ลูกใหม่มาวาง ซึ่งก็มักมีราคาสูงพอที่จะดาวน์รถคันใหม่ได้เลย


3.เกิดสนิมที่ตัวถัง

     หากตัวถังรถเกิดสนิมในชั้นสี เนื่องจากมีรอยถลอกหรือบุบจากการชน อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดสนิมขึ้นกับเหล็กโครงสร้างตัวถัง ก็จะเสี่ยงต่อการผุตามมา แถมยังเป็นอาการที่ลุกลามบานปลายได้ตลอดเวลา ดังนั้น หากพบว่ารถเกิดอาการผุ ก็มักจะซ่อมไม่จบ เกิดการผุลุกลามไปอยู่เรื่อยๆ นอกจากจะทำให้รถไม่สวยเท่าที่ควรแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงในกรณีเกิดอุบัติเหตุอีกต่างหาก เพราะตัวถังที่เกิดสนิมจะมีประสิทธิภาพในการดูดซับและกระจายแรงกระแทกน้อยลง

4.ถูกดัดแซสซีส์/ตัดต่อตัวถัง

     รถที่เกิดอุบัติเหตุจนกระทั่งต้องดัดแซสซีส์ หรือตัดต่อตัวถัง ไม่ควรนำมาใช้งานอีกต่อไป เพราะแม้จะมีสภาพเหมือนใหม่ แต่การขับขี่มักแย่ลงกว่าเดิม เนื่องจากจุดเชื่อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป ตัวถังอาจเกิดอาการเบี้ยวแม้วิ่งทางตรง เสถียรภาพในการขับขี่ลดลง และยังก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าเดิมในกรณีเกิดอุบัติเหตุซ้ำ

     หากรถของคุณผู้อ่านท่านใดเข้าข่ายใน 4 กรณีนี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่ควรจะพิจารณารถยนต์คันใหม่ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคุณเองครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : auto.sanook.com

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

>กรณีใดบ้างที่ ประกันภัยรถชั้น 1 ไม่คุ้มครอง

กรณีใดบ้างที่ ประกันภัยรถชั้น 1 ไม่คุ้มครอง


ประกันภัยรถยนต์ชั้นที่ 1 นั้นเรียกได้ว่าเป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดหากเปรียบเทียบกับประกันภัยรถยนต์อื่น ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ จนคนทั่วไปมักเรียกกันติดปากว่า “ประกันภัยรถชั้น 1 คุ้มครองทุกกรณี” ซึ่งก็ถือได้ว่าไม่ผิดไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ว่า ประกันภัยรถยนต์ชั้นที่ 1 นั้น ไม่ได้ให้ความคุ้มครองในทุกกรณี ยังมีอีกหลายกรณีที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครอง

          ไปดูกันว่ามีอะไรบ้างที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองของ ประกันภัยรถชั้น 1 ซึ่งเงื่อนไขที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองนี้จะมีระบุอยู่ในกรมธรรม์ แต่อาจจะไม่โดดเด่นนักเพราะว่าโอกาสในการเกิดกรณีเหล่านี้นั้นน้อยมาก ๆ โดยวันนี้เราจะขอยกเอากรณีที่เกิดขึ้นยากมาก ๆ ที่ว่ามานี้มาแนะนำกัน ซึ่งเราก็ควรที่จะรู้ไว้เพื่อที่จะได้ระมัดระวังตัวไว้ก่อน แต่บางเรื่องก็ต้องปล่อยไปจริง ๆ เพราะเป็นเหตุที่เกินกว่าเราจะคาดการณ์ได้ 

สิ่งที่คนใช้รถควรรู้เกี่ยวกับกรณีที่ประกันภัยรถชั้น 1 ไม่คุ้มครอง

รถได้รับความเสียหายจากภาวะสงคราม

         หากว่ารถรับได้รับความเสียหายจากภาวะสงคราม ไม่ว่าจะเป็นรอยกระสุน รอยระเบิดต่าง ๆ เหล่านี้ถือว่าอยู่นอกเหนือจากความคุ้มครองของบริษัทประกันภัย ไม่ว่ารถของเรานั้นจะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมากน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้ารถเราได้รับความเสียหายจากภาวะสงคราม เราจะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน

รถได้รับความเสียหายจากสงครามกลางเมือง

         นอกจากความเสียหายจากภาวะสงครามแล้ว ความเสียหายจากสงครามกลางเมือง หรือการก่อความไม่สงบอันเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงความเสียหายอันเกิดจากโดนลูกหลงจากการปะทะ หรือจากกลุ่มก่อความไม่สงบ บริษัทประกันภัยก็จะไม่ให้ความคุ้มครองในส่วนนี้เช่นกัน

รถได้รับความเสียหายจากวัตถุปรมาณู

         กรณีเหตุที่เกิดจากข้อนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก แต่บริษัทประกันภัยก็มีการชี้แจงไว้ก่อนว่าไม่ให้ความคุ้มครองในส่วนนี้ และหากเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ๆ เราก็คงอาจจะไม่ได้อยู่รอดมาเคลมประกันก็ได้ เพราะว่าวัตถุปรมาณูนั้นมีความอันตรายค่อนข้างสูงนั่นเอง

         นอกจากนี้คำว่าวัตถุปรมาณูไม่ได้หมายถึงขีปนาวุธ หรือระเบิดปรมาณูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสียหายที่เกิดจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์อีกด้วย

ความเสียหายจากกัมมันตภาพรังสีของเชื้อเพลิงปรมาณู

         สืบเนื่องจากข้อที่แล้วที่กล่าวถึงวัตถุปรมาณู ระเบิดนิวเคลียร์หรือขีปนาวุธนั้นจะทิ้งรังสีที่เป็นอันตรายหลังจากเกิดเหตุระเบิด และรัศมีการกระจายตัวของรังสีนั้นก็กินวงกว้างมากกว่าระยะการทำลายของระเบิดเสียอีก บริษัทประกันภัยจึงระบุเอาไว้ชัดเจนว่าไม่มีความคุ้มครองครอบคลุมในส่วนนี้

รถได้รับความเสียหายนอกอาณาเขตความคุ้มครอง

         หากว่าสถานที่ที่เราเกิดอุบัติเหตุนั้นอยู่นอกเหนือจากเขตที่ให้ความคุ้มครอง บริษัทประกันภัยอาจจะปฏิเสธที่จะไม่ให้ความคุ้มครอง ซึ่งโดยปกติแล้วอาณาเขตคุ้มครองจะอยู่ในพื้นที่ภายในประเทศไทยนั่นเอง หากเราต้องการที่จะใช้รถออกนอกประเทศก็ควรที่จะแจ้งกับบริษัทประกัน เพื่อทำการออกกรมธรรม์สำหรับคุ้มครองในขณะที่เราใช้รถยนต์เดินทางนอกประเทศนี้ โดยที่เราอาจจะต้องมีการจ่ายเงินเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วย

รถได้รับความเสียหายจากการนำไปทำผิดกฎหมาย

         บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครองกับรถคันที่ได้รับความเสียหายจากการนำไปใช้เพื่อก่อเหตุผิดกฎหมาย เช่น ขนยาเสพติด เป็นต้น

รถได้รับความเสียหายจากการใช้รถยนต์ผิดประเภท

         บริษัทประกันมีสิทธิที่จะไม่ให้ความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับเรา (ผู้เอาประกัน) ที่ใช้รถยนต์ผิดประเภท เช่น รถยนต์เราจดทะเบียนส่วนบุคคลไว้ แต่เราได้นำรถไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งก็จะถือว่าอยู่นอกเหนือที่ระบุไว้ในตารางกรมธรรม์

รถได้รับความเสียหายที่เกิดจากการลากจูง

         หากว่ารถยนต์เราเกิดเสียขึ้นและมีเหตุให้ต้องมีการลากจูงรถเรา เพื่อไปที่อู่ซ่อมหรือที่ใดก็ตาม แล้วเกิดความเสียหายขึ้นระหว่างที่ทำการลากจูงรถไป ส่วนนี้บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง ยกเว้นว่าจะมีการเพิ่มความคุ้มครองส่วนนี้ไว้ก่อนแล้ว

         จะเห็นได้ว่ากรณีที่เรากล่าวถึง ล้วนแต่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยากมากในบ้านเรา ยกเว้นแต่ 2 ข้อสุดท้ายที่ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีเราก็อาจจะโดนบริษัทประกันไม่ให้ความคุ้มครองได้

>เพราะครอบครัวคือคนสำคัญ เลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้นเพียง 9,900 บาท!

เพราะครอบครัวคือคนสำคัญ เลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 Family man 
ดูแลครอบครัวคุณสิครับ 
ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก! 
เบี้ยเริ่มต้นเพียง 9,900 บาท!
ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่ลิงค์นี้ >>Family man 


วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

>อาการผิดปกติของรถยนต์ที่คุณต้องระวัง!!!

อาการผิดปกติของรถยนต์ที่คุณต้องระวัง!!!



 รถยนต์ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ หากมีการใช้งาน ก็ย่อมจะมีการเสื่อมสภาพเป็นปกติ ซึ่งบางครั้งบางคราวมันอาจเกิดอาการเกเรขึ้น แต่ก่อนที่มันจะเกิดปัญหา มักจะมีสัญญาณเตือนถึง อาการผิดปกติของรถยนต์ แสดงออกมา ซึ่งอาการเหล่านี้ หากคุณหมั่นสังเกตบ่อยๆ ก็อาจจะรู้ตัวได้เร็ว และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ทำให้ไม่ต้องเสียเงินเยอะในการซ่อมแซม หรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่

       สำหรับอาการผิดปกติที่รถของคุณแสดงออกมาก่อนจะเกิดปัญหา มีดังนี้

   1. เสียงดังผิดปกติ อาจจะเป็นเรื่องยากที่สุดในการสังเกต เพราะรถยนต์ 1 คัน ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย ยิ่งเป็นช่วงที่คุณกำลังขับรถอยู่ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี เพียงแค่คุณสังเกตในขณะที่จอดรถ หรือขณะเดินเบาเครื่องยนต์ก่อนขับออกไปที่ถนน หากได้ยินเสียงแปลกๆ เสียงผิดปกติ หรือเสียงเหล็กกระทบกัน (ปกติเครื่องยนต์จะไม่มีเสียงเหล่านี้) ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ให้รีบนำรถไปเข้าอู่ หรือศูนย์บริการ เพื่อปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญทันที

   2. รอยน้ำมันหยดใต้ท้องรถ ปกติแล้วน้ำมันต่างๆ จากเครื่องยนต์ ไม่สามารถหยดได้เอง เพราะมีระบบปิดที่แน่นหนา ซึ่งหากคุณพบรอยหยดรอยรั่ว เป็นจุด หรือเป็นทาง แสดงว่ามันต้องเกิดความผิดปกติ และเสียหายขึ้นในระบบแน่นอน ให้รีบนำรถไปตรวจสอบทันที

   3. รถเร่งไม่ขึ้น อืด กินน้ำมัน หากไม่มีความผิดปกติจากรอยน้ำมันหยด-รั่ว เวลาเหยียบคันเร่งแล้วรถไม่พุ่งเหมือนเดิม ให้ตรวจดูกรองอากาศ และกรองน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดูว่ามันสกปรกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากสกปรกมาก ให้เปลี่ยนกรองทั้ง 2 ตัว หรือนำออกมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย

   4. ใช้เวลาสตาร์ทรถนานกว่าเดิม เมื่อคุณสตาร์ทรถแล้วรู้สึกว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าเดิม จากปกติที่บิด หรือกดปุ่มครั้งเดียวแล้วติดเลย กลายเป็นว่าต้องบิด ต้องกดหลายครั้งกว่าจะติด แสดงว่ารถของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว อย่างแรกที่ต้องเช็กดูเลยก็คือ แบตเตอรี่ เพราะมันอาจเสื่อมสภาพแล้ว แต่ถ้ามันยังดีอยู่ ต่อไปก็ต้องดูที่ไดสตาร์ท เนื่องจากตัวมันอาจเสียหาย หรือแปรงถ่านอาจหมดก็ได้เช่นกัน



   5. มีเสียงดังแปลกๆ ขณะเบรก เสียงที่ว่านี้อาจมีหลายแบบ ทั้งดังเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ หรือจี๊ดๆ ฯลฯ ในขณะที่คุณกดแป้นเบรกลงไป ซึ่งเสียงที่ว่านี้อาจดังได้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งหากรถของคุณมีอาการแบบนี้ แสดงว่าผ้าเบรกใกล้หมดแล้ว แนะนำให้รีบไปเปลี่ยนผ้าเบรกโดยเร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

   6. อาการควันสีขาวออกท่อพร้อมกลิ่นฉุน หากมีอาการตามที่กล่าวมานี้ แสดงว่าเครื่องยนต์รถของคุณมีปัญหาแล้ว เพราะรถที่ปกติจะต้องไม่มีควันขาวออกมา ซึ่งถ้าจะให้เจาะจงว่าเป็นเพราะอะไร ก็มีอยู่หลายสาเหตุ ทางที่ดีหากเกิดอาการแบบนี้ขึ้น ให้รีบนำรถไปเข้าอู่ เข้าศูนฯ โดยด่วน

   7. ช่วงล่างนิ่มนวลผิดปกติ หากขณะขับขี่แล้วรู้สึกว่าช่วงล่างนิ่มขึ้น ขับตกหลุม หรือผ่านลูกระนาดแล้วรถยวบตัวลงไป หรือเด้งขึ้นเด้งลงไปมามากกว่าปกติ เป็นไปได้ว่าชิ้นส่วนช่วงล่างบางตัวเกิดการเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ที่มักจะเป็นก็คือ โช๊คกับสปริงนั่นเอง

     หากเกิดอาการข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อตามที่กล่าวมานี้ ให้รีบนำรถไปเข้าอู่ หรือศูนย์บริการทันที เพราะอาการผิดปกติบางข้อ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของตัวคุณเอง ดังนั้นอย่าได้ชะล่าใจเป็นอันขาด



วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

>นโยบายใหม่ปีนี้! เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ลดหย่อนภาษีได้

นโยบายใหม่ปีนี้! เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด 
ลดหย่อนภาษีได้



หลังจากมีมติจากทางคณะรัฐมนตรีออกกฎหมายในการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จึงเกิดเป็นโครงการเมืองรอง 55 จังหวัด หักภาษี 1.5 หมื่นบาท วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึกว่า เมืองรองทั้ง 55 จังหวัดนั้นมีเมืองไหนกันบ้าง และมีอะไรดีอะไรเด็ดบ้างในเมืองนั้นๆ ตามไปดูกันครับ


เมืองรองทั้ง 55 จังหวัดได้แก่ นครศรีธรรมราช อุดรธานี เชียงราย ลพบุรี พิษณุโลก สุพรรณบุรี อุบลราชธานี นครนายก หนองคาย สระแก้ว เลย ตาก ตราด เพชรบูรณ์ จันทบุรี มุกดาหาร นครสวรรค์ ราชบุรี สมุทรสงคราม บุรีรัมย์ ชัยภูมิ พัทลุง ตรัง ศรีสะเกษ ปราจีนบุรี สตูล ชุมพร สุโขทัย สุรินทร์ สกลนคร ลำพูน นครพนม อุตรดิตถ์ ระนอง ลำปาง ร้อยเอ็ด แม่ฮ่องสอน พิจิตร แพร่ ชัยนาท น่าน อ่างทอง มหาสารคาม กำแพงเพชร อุทัยธานี นราธิวาส ยะลา พะเยา บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ยโสธร สิงห์บุรี หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และปัตตานี  

ส่วน 22 จังหวัดที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 6 จังหวัด คือ จังหวัดนครปฐม นนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และปทุมธานี 

รวมทั้งจังหวัดที่มีผู้เยี่ยมเยือนสูงสุด 15 จังหวัดแรก ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา ระยอง สงขลา เพชรบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น พังงา และ สระบุรี

ซึ่งเมื่อดูจากตามรายชื่อทั้ง 55 จังหวัด แล้วถือว่าเป็นเมืองที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวอย่างยิ่ง บางจังหวัดบางคนยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นๆ เลยด้วยซ้ำ

แต่ถ้าหากไปศึกษาจริงๆ จะรู้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ซุกซ่อนอยู่มากมาย เช่น จุดชมวิวผาแดง จังหวัดลำพูน , เขาเทวดา จังหวัดสุพรรณบุรี , หินสามวาฬ จังหวัดบึงกาฬ , ปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน,

ทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ, เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล, เป็นต้น



ซึ่งสถานที่เหล่านี้บางที่ก็เป็นสถานที่ยอดนิยมบางที่ก็เป็นสถานที่แปลกใหม่สุดอันซีน ที่สำคัญในปีนี้คุณสามารถไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้ได้แบบประหยัดงบ เพราะรัฐบาลจะคืนภาษีในการท่องเที่ยวให้กับคุณถึง 1.5 หมื่นต่อคน

ไม่ว่าจะใช้บริการบริษัทท่องเที่ยวหรือจ่ายค่าที่พักหักค่าลดหย่อนภาษีได้ในระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 61

และได้กำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง สามารถนำไปหักลดหย่อนได้เต็มจำนวน 100%

ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่ออกมาสนับสนุนและกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้นอีกด้วย

เป็นโอกาสที่ดีแก่ผู้ที่รักการท่องเที่ยวจะได้ประหยัดงบประมาณของตัวเองและสามารถเที่ยวแบบฟินๆ ได้ตลอดทั้งปีเลยครับ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก travel.sanook.com

>5 สถานที่ไหว้พระแก้ชง รับปีจอ 2561

5 สถานที่ไหว้พระแก้ชง รับปีจอ 2561



5 สถานที่ ทำบุญแก้ชง รับปีจอ 2561
สำหรับปี 2561 นี้ ตรงกับปีนักษัตร ปีจอ ตามความเชื่อของชาวจีน เขาว่าปีที่ชงกับจอเต็มๆ ก็คือ ปีมะโรง ส่วนปีชงร่วมก็มี ปีฉลู ปีจอ ปีมะแม  สำหรับคนเกิดในปีนักษัตรที่ว่ามาคงไม่สบายใจขึ้นมาทันที เราก็เลยรวบรวม  5  สถานที่ ทำบุญแก้ชง รับปีจอ 2561 มาฝากเพื่อน ๆ ให้เลือกไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ได้ตามความสะดวก


1. วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่)


     สถานที่ ทำบุญแก้ชง ที่แรกกือ วัดมังกรกมลาวาส หรือที่เราเรียกกันติดหูว่าวัดเล่งเน่ยยี เป็นหนึ่งในวัดจีนแต้จิ๋วในยุคแรกๆ ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในไทย เป็นสถานที่ประดิษฐานของ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และองค์เทพเจ้าสำคัญหลายองค์ ผู้คนนิยมมากราบไหว้เพื่อให้เป็นสิริมงคล เสริมดวงชะตา และแก้ปีชง

ที่ตั้ง: ถนนเจริญกรุง ระหว่างซอยเจริญกรุง 19 และ 21 ย่านเยาวราช



******************************************

2. วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์
(วัดมังกรกมลาวาส 2 หรือวัดเล่งเน่ยยี่ 2)


     วัดเล่งเน่ยยี่ 2 สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 50 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และได้ตั้งเป็นพุทธสถานให้พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติธรรม และประกอบพิธีกรรมในศาสนา มีรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยจีนที่สวยงามอลังการ คนที่เกิดปีขาลและปีวอกควรมาไหว้องค์ไท้ส่วย ส่วนคนที่เกิดปีฉลูและปีกุนควรมาไหว้องค์แป๊ะกง สำหรับคนเกิดปีเถาะและปีมะเมียควรมาไหว้เจ้าแม่กวนอิม ส่วนคนที่เกิดปีระกาให้มาไหว้เทพฮั่วท้อ

ที่ตั้ง: ย่านชานเมือง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดบางบัวทอง

******************************************


3. วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม (วัดนาจา)


     วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ โดยสร้างเป็น วิหาร 4 ชั้น เพื่อ “เฉลิมพระเกียรติครบรอบ 72 พรรษา ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ตั้งอยู่ริมเส้นทางเลียบชายทะเลจากอ่างศิลาไปเขาสามมุข ภายในโออ่าใหญ่โตด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน จุดเด่นด้านศิลปวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ รูปปั้นมังกรซึ่งมีมากถึง 2,840 ตัว กระถางธูปศักดิ์สิทธิ์ เสาฟ้าดิน นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่มีองค์ไท้ส่วยเอี้ย (ดาวเทพคุ้มครองดวงชะตาประจำปีเกิดของมวลมนุษย์) ครบ 60 องค์ ให้ผู้มาเยือนได้ขอพรได้ตรงตามปีเกิด ผู้ที่มากราบไหว้ “องค์เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ” เชื่อว่าจะทำให้มีชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนธุรกิจการค้าขายเจริญรุ่งเรือง

ที่ตั้ง: ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี


******************************************



4. วัดทิพยวารีวิหาร (วัดกัมโล่วยี่)



     เป็นวัดจีนเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีปี พ.ศ. 2319 ที่นี่มีองค์เทพสำคัญๆ มากมาย ที่คนนิยมมาไหว้ขอพระและ ทำบุญแก้ชง ผู้ที่เกิดปีมะโรงควรมาไหว้เทพบุ่งเชียง คนปีมะเส็งควรมาไหว้เทพไท้อิม (จันทราเทพ) ส่วนคนปีมะแมให้มาไหว้เทพไท้เอี๊ยง (สุริยะเทพ) ผู้ที่เกิดปีปีระกาให้มาไหว้เทพฮั่วท้อ ส่วนคนที่เกิดปีจอให้มาไหว้เทพฮั้วกวงไต่ตี่ (เทพสามตา)

ที่ตั้ง: ซอยทิพยวารี ถนนตรีเพชร เขตพระนคร (บ้านหม้อ) กรุงเทพฯ


******************************************

5. วัดโพธิ์แมนคุณาราม (วัดโพวมิ้งปออึงยี่)




ขอบคุณรูปภาพจาก: วัดโพธิ์แมนคุณาราม
     วัดโพธิ์แมนคุณาราม เป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย ที่มีการผสมผสานของศิลปะจีน-ไทย-ทิเบต ซึ่งถือว่าหาดูยาก มีสิ่งล้ำค่าอีกอย่างหนึ่งคือ พระคัมภีร์ของวัชรยาน (ทิเบต) นิกายมนตรายาน ซึ่งสมบูรณ์ที่สุดในโลก

ที่ตั้ง: ซอยสาธุประดิษฐ์ 19 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ


******************************************

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : MThai.com

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

>ตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีคืออะไร ? ทำไมถึงต้องทำ ?

ตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีคืออะไร ? 

ทำไมถึงต้องทำ ?



ตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีคืออะไร ทำไมถึงต้องทำ

     โดยปกติแล้วเจ้าของรถทุกคันจำเป็นจะต้องนำรถเข้าตรวจสอบเช็คระยะเป็นประจำอยู่แล้ว อาจจะทุก 5,000 หรือ 10,000 กิโลเมตร เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง อะไหล่ชิ้นส่วนที่จำเป็นเพื่อให้รถใช้งานได้ยาวนานที่สุดเท่านี่จะเป็นไปได้ ซึ่งถือเป็นคนละกรณีกับการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี โดยรถที่จะต้องตรวจสภาพก่อนเสียภาษีประจำปีได้แก่

1. รถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกทุกประเภท โดยไม่จำกัดอายุการใช้งาน ในกรณีนี้มีรถที่เข้าข่ายต้องนำรถไปตรวจดังต่อไปนี้ รถที่มีการดัดแปลงสภาพผิดไปจากที่จดทะเบียนไว้ เปลี่ยนสีหรือตัวรถ รถที่มีปัญหาเรื่องของเลขตัวถังหรือเลขเครื่องยนต์ รถที่มีคดีถูกโจรกรรมแล้วสามารถนำกลับคืนมาได้ รถที่ขาดต่อทะเบียนเกิน 1 ปี
2. รถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ประเภทดังนี้
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
- รถจักรยานยนต์ที่มีอายุใช้งานครบ 5 ปีขึ้นไป

     ในการนำรถไป ตรวจสภาพประจำปี สามารถนำไปตรวจได้ที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ซึ่งได้รับการอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว โดยรถที่ต้องนำไปตรวจสภาพที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้นได้แก่ รถที่มีการดัดแปลงสภาพ รถที่
เปลี่ยนสี เปลี่ยนเครื่องยนต์ รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวถังหรือเลขเครื่องยนต์ รถที่ขาดการต่อทะเบียนนานเกิน 1 ปี

     เจ้าของรถสามารถนำรถไปตรวจสภาพได้ล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือนก่อนถึงวันสิ้นอายุภาษีประจำปี โดยมีค่าใช้จ่ายในการนำรถไปตรวจดังนี้คือ รถจักรยานยนต์ 60 บาท รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 200 บาท ส่วนรถยนต์ที่น้ำหนักรถเปล่าเกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 300 บาท ส่วนเอกสารที่จะต้องใช้มีเพียงแค่สมุดคู่มือทะเบียนรถเท่านั้น

     ในกรณีตรวจไม่ผ่านเกณฑ์ ทางสถานตรวจรถจะแจ้งให้เจ้าของรถทราบถึงรายละเอียดที่จะต้องแก้ไข และนำกลับมาตรวจใหม่อีกครั้งภายใน 15 วัน โดยเสียค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งของการตรวจครั้งแรก แต่ถ้าเกิน 15 วันหรือนำรถไปตรวจที่สถานตรวจรถอื่นจะต้องเสียค่าบริการเต็มจำนวตามปกติ กรณีเมื่อตรวจผ่านเรียบร้อยทางสถานตรวจรถจะออกใบรับรองการตรวจสภาพรถเพื่อนำไปใช้ดำเนินการต่อภาษีป้ายทะเบียนต่อไป

     ถึงแม้ว่าการตรวจสภาพรถจะเป็นขั้นตอนที่บังคับให้เจ้าของรถทำเนื่องจากต้องทำเรื่องต่อทะเบียนป้ายภาษีรถยนต์ก็ตาม แต่ข้อดีคือทำให้เจ้าของรถทราบว่ารถยังใช้งานได้อยู่และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย จะเป็นการดีถ้าเจ้าของรถตรวจสภาพรถด้วยตนเองเป็นระยะๆ ด้วยเช่นกัน




>"ลมยางอ่อน" เสี่ยงอันตรายกว่าที่คุณคิด

"ลมยางอ่อน" เสี่ยงอันตรายกว่าที่คุณคิด




ยางรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการละเลยตรวจสอบลมยางจนเป็นเหตุให้ลมยางอ่อน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่คิด


คนใช้รถจำนวนไม่น้อยมักละเลยการตรวจสอบแรงดันลมยางให้เหมาะสมอยู่เสมอ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าลมยางที่น้อยจนเกินไป อาจสร้างความเสียหายได้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะการขับขี่ด้วยความเร็วสูง เนื่องจากลมยางที่อ่อนเกินไป จะทำให้ยางเกิดการยุบตัวได้ง่าย (นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมลมยางอ่อนจึงทำให้รถนุ่มขึ้น) จนเป็นสาเหตุให้แก้มยางบิดตัวมากกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุให้ยางระเบิดขณะขับขี่ได้

ขณะเดียวกัน ลมยางอ่อนจะทำให้ดอกยางด้านข้างหมดเร็วกว่าปกติ เนื่องจากแก้มยางจะบานออก ทำให้ยางสึกไม่เท่ากันทั้งเส้น ตรงข้ามกับยางที่มีลมยางมากจนเกินไป ก็จะทำให้ดอกยางส่วนกลางหมดเร็วกว่าด้านข้าง เนื่องจากยางพองตัวจนหน้ายางไม่สามารถสัมผัสพื้นถนนเท่ากันทั้งเส้น

ไม่เพียงเท่านั้น ลมยางที่อ่อนจนเกินไปจะส่งผลให้รถเปลืองน้ำมันขึ้นด้วย เนื่องจากเกิดแรงเสียดทานมากกว่าปกติ จึงเพิ่มภาระเครื่องยนต์ให้ทำงานมากกว่าปกติจนเป็นสาเหตุให้กินน้ำมันมากขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ทางที่ดีควรตรวจสอบลมยางทุกครั้งก่อนออกเดินทางไกล หากมีผู้โดยสารไปด้วยเต็มคันก็ควรเพิ่มแรงดันลมยางขึ้นไปอีก เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปกติจะต้องบวกเพิ่มประมาณ 8-10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ในกรณีมีผู้โดยสาร 5 คน พร้อมสัมภาระเต็มคัน

รู้แบบนี้แล้วควรเช็คลมยางเพื่อความปลอดภัยของตัวเองกันครับ

ขอขอบคุณข่าวจาก auto.snook.com


วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

>4 สิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา " พวงมาลัยสั่น "


ปัญหาพวงมาลัยสั่นขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยเมื่อรถใช้งานไปนานๆ วันนี้ศรีกรุง ฯ มาแนะนำ 4 สิ่งที่อาจก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าวพร้อมทั้งวิธีแก้ไข มีอะไรบ้าง?

1.ยางบวม

     ยางรถยนต์เป็นสิ่งที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง หากยากมีอาการบวม ก็จะส่งผลให้เกิดการสั่นขณะขับรถที่ความเร็วสูงได้ ซึ่งปัญหายางบวมเกิดขึ้นได้หากรถตกหลุมอย่างรุนแรง ควรตรวจเช็คด้วยการขึ้นแม่แรงแล้วหมุนล้อดูว่ายางยังกลมดีหรือไม่ หากพบว่ายางบวมควรรีบเปลี่ยนทันที เนื่องจากเสี่ยงต่อการระเบิดได้ในอนาคต

2.ล้อคด

     หากล้อข้างใดข้างหนึ่งมีการคด ก็จะทำให้พวงมาลัยสั่นขณะขับขี่ได้เช่นกัน ซึ่งบางครั้งอาการคดอาจเกิดขึ้นด้านในของล้อ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ถนัดนัก ทางที่ดีควรนำไปให้ร้านยางตรวจสอบและแก้ไข ซึ่งหากมีการคดจริง ก็มักซ่อมได้ในราคาหลักร้อยบาทต่อล้อ


3.จานเบรกคด

     จานเบรกเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการพวงมาลัยสั่นได้ ซึ่งส่วนมากมักจะเจออาการได้ชัดขณะเหยียบเบรก ซึ่งการคดของจานเบรกมักเกิดจากจานเบรกโดนน้ำขณะร้อนจัด โดยเฉพาะเวลานำรถไปล้าง วิธีแก้ไขสามารถทำได้โดยการเจียรจานเบรก หรือหากจานเบรกบางมาก อู่ก็มักแนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลย

4.ลูกปืนล้อ

     ลูกปืนล้อจะถูกหมุนตลอดเวลาเมื่อล้อหมุน หากลูกปืนหลวมหรือแตก จะทำให้ล้อแกว่ง เสียศูนย์ เกิดเสียงดังขณะรถวิ่ง และจะดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วรถ ซึ่งลูกปืนล้อที่แตกยังส่งผลต่ออาการพวงมาลัยสั่นได้ด้วย โดยเฉพาะลูกปืนล้อหน้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : auto.sanook.com



>เกร็ดความรู้ "อาการตาแห้ง"

📣 เกร็ดความรู้ "อาการตาแห้ง"




วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561

>ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก 'คาร์ซีท' จำเป็นกว่าที่คุณคิด

ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก
'คาร์ซีท' จำเป็นกว่าที่คุณคิด

เด็ก จำเป็น ต้องใช้ คาร์ซีท (Car Seat)

ครอบครัวที่มีเด็กบางท่าน อาจจะยังไม่เห็นถึงความสำคัญ หรือความจำเป็นที่จะต้องนั่ง คาร์ซีท (Car Seat) หรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก
อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้น วิธีป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเล็กด้วยการใช้ คาร์ซีท (Car Seat) ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะแค่นั่งกอดเด็กเล็กไว้ ไม่ได้การันตีว่าเขาจะปลอดภัย หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา

สาเหตุแห่งความสูญเสีย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการว่าในแต่ละปี เด็กทั่วโลกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ประมาณ 186,300 คน หรือในทุก ๆ สี่นาที จะมีเด็กหนึ่งคนเสียชีวิต
 

โดยประเทศไทย พบการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีเด็กเสียชีวิต ตั้งแต่ปี 2551-2555 โดยเฉลี่ยอายุตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 15 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากการโดยสารรถกระบะ และรถโดยสารส่วนบุคคล เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มีการชนกันอย่างแรง ทำให้เด็กหลุดจากที่นั่ง กระเด็นออกมานอกรถ หรือหลุดจากอ้อมกอดไปกระแทกส่วนต่าง ๆ ในรถ

คาร์ซีท (Car Seat) สามารถปกป้อง และลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้กับเด็ก ซึ่งเป็นบุคลากรของประเทศที่จะเจริญเติบโตในวันข้างหน้า โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า การใช้ คาร์ซีท (Car Seat) จะมีส่วนช่วยลดการเสียชีวิตของเด็กได้ถึงร้อยละ 70 ซึ่งในปัจจุบันกว่า 96 ประเทศทั่วโลก มีกฏหมายบังคับใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กแล้ว

และอีกหนึ่งความปลอดภัยจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จาก 724 อินชัวร์ และทิพยประกันภัยที่เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของเด็กในครอบครัวเช่นเดียวกัน จึงมีโครงการ ‘Family Man ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1’ ประกันภัยสำหรับคนมีครอบครัวเกิดขึ้น เพื่อมอบสิทธิประโยชน์มุ่งเน้นคุ้มครองสมาชิกในครอบครัวเป็นสำคัญ

กับเบี้ยเริ่มต้นเพียง 9,900 บาท ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก พร้อมทั้งสามารถผ่อนชำระสบายๆ 0% สูงสุด 6 เดือน กับธนาคารชั้นนำ 3 ธนาคาร
ให้ Family Man ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 
ช่วยดูแลทุกคนในครอบครัวอีกแรงนะครับ คลิกเลย
https://insure.724.co.th/u/AM00062781

>'กุญแจสีเขียว' ความปลอดภัยบนเว็บไซต์ระดับสูง

'กุญแจสีเขียว'
ความปลอดภัยบนเว็บไซต์ระดับสูง


เวลาเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ คุณเคยสังเกตเห็น กุญแจสีเขียว ที่อยู่บนหน้า URL หรือไม่?
 เครื่องหมายรูป ‘กุญแจสีเขียว’ ที่ปรากฏบนหน้า URL เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่า เว็บไซต์นั้น ๆ มีการเข้ารหัสระบบรักษาความปลอดภัยเอาไว้ ซึ่งก็คือ HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) นั่นเอง โดยประโยชน์ของการเข้ารหัส คือ ป้องกันการถูกโจรกรรมข้อมูลจากแฮกเกอร์ (Hacker) ระหว่างที่ข้อมูลถูกส่งผ่านจากตัวเว็บไซต์ไปยังเซิฟเวอร์ ดังนั้น เราจึงมักเห็นการใช้ HTTPS บนเว็บที่ต้องการความปลอดภัยสูงอย่างเว็บไซต์ของธนาคาร เว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลสำคัญ ๆ หรือเว็บไซต์ที่ขายสินค้าออนไลน์เป็นต้น

จะได้ HTTPS มาอย่างไร?
เจ้าของเว็บไซต์จะต้องทำการยืนยันตัวตนกับผู้ออก Certificate ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานที่มีความเข้มงวดสูง เจ้าของเว็บไซต์ต้องใช้ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้จริง รวมไปถึงรูปแบบของเว็บไซต์ จะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่มีความปลอดภัย

เวลาซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ หรือโอนเงินผ่าน Internet Banking ควรสังเกตุสัญลักษณ์ ‘กุญแจเขียว’ และตรวจสอบ URL ทุกครั้ง ในปัจจุบันนี้มีหลาย ๆ เว็บไซต์มีบริการขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ หันมาใช้ระบบ HTTPS กันมากแล้ว จึงทำให้ลูกค้าเริ่มมีความมั่นใจ และไว้ใจในความปลอดภัยของระบบมากขึ้น

รวมไปถึงเว็บไซต์ของ 724 อินชัวร์ ที่มีระบบ HTTPS หรือ ‘กุญแจเขียว’ เช่นกัน เพราะฉะนั้นคุณจึงมั่นใจได้ที่จะซื้อประกันภัยออนไลน์ และบริการจากเรา ผ่านเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ระดับสากลที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และถูกหลักมาตรฐานสากลจากหน่วยงานของรัฐ อีกทั้งยังได้รับความสะดวกสบาย และความรวดเร็ว ทันสมัยในระดับต้น ๆ ของเมืองไทย

724 อินชัวร์  จึงไม่ใช่แค่เว็บไซต์ขายประกัยภัยบนโลกออนไลน์เท่านั้น แต่เรายังใส่ใจทุกรายละเอียดในชีวิตของคุณ

มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับ 724 อินชัวร์นะครับ

จุดเด่นของธุรกิจ MGM ของ ศรีกรุงโบรคเกอร์

สมัครสมาชิกเพียง 200 บาท ได้สิทธิซื้อประกันภัยราคาพิเศษ ตลอดชีพ
มีบริการที่หลากหลาย มากกว่า 30 บริษัทชั้นนำ
แนะนำเพื่อนมาเป็นสมาชิก เพื่อนได้ส่วนลด คุณยังได้ค่าแนะนำ
มีรายได้หลายทาง ทั้งขายเอง แนะนำบอกต่อ และบริหารทีม
ลูกค้าต้องซื้อซ้ำทุกปี กฎหมายบังคับ ไม่ต้องสต๊อกสินค้า
เป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก กำลังซื้อมากกว่า 2 แสนล้านบาท/ปี
เริ่มธุรกิจง่าย ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน และ..ไม่มีเพดานรายได้
ไม่บังคับยอดรายเดือน หรือรายปี แต่..ก็มีรายได้หลักแสนต่อเดือนได้
สามารถโอนผลงาน รายได้ให้ทายาทได้ โดยไม่ต้องนับหนึ่งใหม่

สิ่งที่คุณจะได้รับ เมื่อสมัครเป็นสมาชิกศรีกรุงโบรคเกอร์ ทีมงานโค้ชสัมพันธ์ศรีกรุงโบรคเกอร์









เคลมสีรอบคัน ทำแล้วดีจริงเหรอ ?